ขั้นตอนสั่งซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อลูกค้าต้องการสั่งซื้อแบตเตอรี่รถยนต์จากบริษัทฯ ลูกค้าควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
ตรวจสอบว่าลูกค้าใช้รถยนต์รุ่นอะไร เครื่องยนต์กี่ซีซี รถยนต์ของท่านปีอะไร ตัวอย่างเช่น ลูกค้าใช้รถยนต์ฮอนด้า FD รุ่นซีวิค ปี 2014 (หากไม่ทราบ ลูกค้าสามารถดูจากเว็ปไซค์ของบริษัทฯโดยไปที่เมนู “ค้นหาแบตเตอรี่ตามรุ่นรถ ” โดยลูกค้าสามารถเลือกรุ่นรถของลูกค้าตามรูปภาพและตรวจสอบว่ารถของลูกค้าสามารถใช้แบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหน และรุ่นไหนได้บ้าง)
เมื่อลูกค้าทราบข้อมูลแล้ว ลูกค้าสามารถโทรหาบริษัทฯโดยตรงในกรณีเร่งด่วนที่ 096-490-9993 หรือ 080-963-6661 หรือ 082-965-4446 ตลอดเวลาทำการ 7:00 AM – 1:00 AM ทุกวัน (หรืออีกกรณีหนึ่ง ลูกค้าสามารถสั่งซื้อผ่านเว็ปไซค์ โดยการสมัครเป็นสมาชิก และกรอกข้อมูลที่ระบุ พร้อมวันเวลานัดหมายที่ต้องการ)
ในการสั่งซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ทุกครั้ง ข้อมูลที่ลูกค้าต้องเตรียมคือ
หมายเลขทะเบียนรถ
ยี่ห้อรถยนต์ รุ่นรถยนต์ ปี ขนาดเครื่องยนต์ (ซีซี)
ชื่อและนามสกุล
เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้
ที่อยู่ในการจัดส่งและติดตั้ง วันที่ต้องการติดตั้ง เวลาที่ต้องการติดตั้ง
ที่อยู่ในการออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (กรณีต้องการ)
หากลูกค้าต้องกการออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ กรุณาระบุขื่อบริษัทฯ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และรหัสสำนักงานใหญ่หรือสาขา กับพนักงานลูกค้าสัมพันธ์ในกรณีสั่งซื้อทางโทรศัพท์ หรือระบุรายละเอียดดังกล่าวในตะกร้าสินค้าในกรณีสั่งซื้อผ่านเว็ปไซค์.
เมื่อถึงวันเวลาที่นัดหมาย พนักงานลูกค้าสัมพันธ์จะโทรคอนเฟิร์มการนัดหมายส่งและติดตั้งแบตเตอรี่รถยนต์กับลูกค้าโดยตรง
ก่อนเวลานัดหมายประมาณ 30 นาที ช่างจากบริษัทฯโทรหาลูกค้าเพื่อเข้าไปส่งและติดตั้งแบตเตอรี่รถยนต์ให้ลูกค้า
เมื่อถึงหน้างาน ลูกค้าต้องตรวจสอบว่าแบตเตอรี่รถยนต์ที่สั่งซื้อตรงตามใบส่งของ/ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน หรือไม่ (หากเกิดข้อสงสัยใดๆ กรุณาโทรติดต่อบริษัทฯโดยตรงที่ 096-490-9993 หรือ 080-963-6661 หรือ 082-965-4446)
ช่างจะทำการติดตั้งแบตเตอรี่รถยนต์ และหลังจากติดตั้งจะตรวจเช็คไดชาร์จ ระบบไฟให้ลูกค้า (ในกรณีไดชาร์จผิดปกติคือมีค่าต่ำกว่า 13.5 โวลต์ (Undercharged) หรือไดชาร์จมีค่ามากกว่า 14.5 โวลต์ (Overcharged) ลูกค้าต้องรีบไปหาศูนย์บริการหรือช่างระบบไฟของลูกค้าเพื่อทำการซ่อมแซมโดยด่วน ถ้าลูกค้าไม่ดำเนินการซ่อมแซม และเป็นเหตุให้แบตเตอรี่รถยนต์เสียหาย ทางบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ไม่รับประกัน)
การชำระเงินสามารถชำระได้ 3 ช่องทาง
ชำระเงินสดกับช่างที่หน้างาน
ชำระด้วยการโอนเงินผ่านธนาคารจากมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่หน้างาน
ชำระโดยการรูดบัตรเครดิต (กรณีนี้ลูกค้าต้องแจ้งก่อนว่าจะชำระด้วยบัตรเครดิต ก่อนวันที่ไปติดตั้ง)
หลังจากชำระเงินเสร็จแล้ว ลูกค้าจะได้รับใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงินจากช่าง พร้อมลูกค้าเซ็นรับของ
ขั้นตอนสั่งซื้อแบตเตอรี่รถยนต์
ขั้นตอนเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ บริษัทฯ มีขั้นตอนการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
เตรียมแบตเตอรี่รถยนต์ส่งลูกค้า
แบตเตอรี่รถยนต์แบบน้ำกลั่น : เมื่อบริษัทฯได้รับแบตเตอรี่รถยนต์สดใหม่มาจากโรงงานผู้ผลิต. บริษัทฯจะดำเนินการเติมน้ำกรดที่มีค่าความถ่วงจำเพาะตามมาตรฐานโรงงาน และดำเนินการชาร์จแบตเตอรี่แบบช้าเป็นเวลา 8-10 ชั่วโมง.
แบตเตอรี่รถยนต์แบบกึ่ง (MF หรือ Hybrid) : บริษัทฯได้รับแบตเตอรี่รถยนต์แบบกึ่งแห้งจากโรงงานผู้ผลิตทุกสัปดาห์ เพราะบริษัทฯจำหน่ายสินค้าทุกวันเป็นจำนวนมากและบริษัทฯไม่มีนโยบายสต๊อกสินค้าไว้นาน. ดังนั้นลูกค้าไว้ใจได้เลยว่าซื้อสินค้าจากบริษัทฯ ลูกค้าจะได้รับแบตเตอรี่ที่ใหม่จริง.
แบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้ง (SMF) : บริษัทฯจำหน่ายสินค้าแบตเตอรี่ชนิดแห้งจำนวนมากต่อวัน. ดังนั้นโรงงานผู้ผลิตจัดส่งแบตเตอรี่ชนิดแห้งให้แก่บริษัทฯทุกๆสัปดาห์. แบตเตอรี่จึงสดใหม่จากโรงงาน.
ขั้นตอนเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ให้แก่ทางลูกค้า
ก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่ ช่างจะทำการสำรองไฟโดยเลี้ยงระบบไฟด้วยแบตเตอรี่สำรอง หรือจั๊มให้รถเครื่องยนต์ติด แล้วดำเนินการเปลี่ยนแบตเตอรี่ (เนื่องจากกล่อง ECU ต้องการไฟไปเลี้ยงที่ระบบ หน่วยความจำจะไม่หาย)
ขณะเปลี่ยนแบตเตอรี่ ช่างจะมีเครื่องมือเฉพาะทางในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ เช่นตัวที ประแจดาว ซึ่งจำไม่ทำให้น็อตของลูกค้าเสีย.
หลังจากเปลี่ยนแบตเตอรี่เสร็จ ช่างจะทำการตรวจเช็คระบบไดชาร์จ และระบบไฟของรถลูกค้าว่าทำงานสมบูรณ์หรือไม่. (ในกรณีไดชาร์จทำงานผิดปกติ ช่างจะเขียนในใบเสร็จรับเงิน และอธิบายท่านว่าเกิดปัญหาอะไรกับระบบไฟของท่าน ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่ของท่านเสื่อมเร็วกว่าที่ควร ดังนั้นท่านควรดำเนินการแก้ไขต่อไป อย่างทันท่วงที)
ในกรณีที่ลูกค้ามีข้อสงสัยต่างๆ ลูกค้าสามารถโทรสอบถามพนักงานลูกค้าสัมพันธ์ หรือช่างเทดนิคได้ที่ 096-490-9993 หรือ 080-963-6661 หรือ 082-965-4446 ในเวลาทำการ 7:00 AM – 1:00 AM ทุกวัน
ขั้นตอนเปลี่ยนแบตรถยนต์
เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ ผู้ใช้รถหลายท่าน มักจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์” จากประสบการณ์ของบริษัทฯตลอด 10 ปี เราสามารถระบุเกือบ 100 % ได้ว่าเมื่อไหร่แบตเตอรี่รถยนต์ของลูกค้าจะต้องถูกเปลี่ยน.
เมื่อแบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุการใช้งาน : อายุการใช้งานคิดคำนวณจากการที่กระแสไฟผ่านเข้าไปในแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อถูกใช้งานเป็นจำนวนชั่วโมงที่มาก แผ่นธาตุตะกั่วภายในแบตเตอรี่ก็จะเสื่อมสภาพจนแบตเตอรี่ที่ใช้ไม่ได้. หลักการคำนาณแบบที่ลูกค้าสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันคือ รถติดเครื่องหรือติดบนถนน 1 ชม. คิดเป็นระยะทางรถวิ่ง 70 กิโลเมตร. แบตเตอรี่รถยนต์ 1 ลูกใช้ได้ประมาณ 70,000 – 90,000 กิโลเมตร. ในกรณีที่ใช้รถยนต์น้อย ลูกค้าสามารถนับจากวันติดตั้ง (หรือวันผลิต) ประมาณ 2 ปี ดังนั้นเมื่อครบระยะเวลาดังกล่าวแบตเตอรี่จะใช้การไม่ได้.
เมื่อลูกค้าละเลยการชาร์จกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่เป็นเวลานาน เช่น 2-3 เดือน (ในกรณีนี้เกิดจากการที่ลูกค้าจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน) ซึ่งจะทำให้เกิดคราบซัลเฟตในแบตเตอรี่ และกระแสไฟไม่สามารถผ่านได้ จึงทำให้แบตเตอรี่เสื่อม.
ลูกค้าไม่เคยเช็คระบบชาร์จไฟรถยนต์ (ไดชาร์จ) ซึ่งเป็นต้นเหตุให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ.
ไดชาร์จต่ำ (Undercharging) หมายถึงไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่รถยนต์ต่ำก่าว 13.50 โวลต์ขณะเปิดไฟหน้าและแอร์ ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์บวมข้าง แผ่นธาตุอุดตันด้วยซัลเฟต และไฟผ่านในแบตเตอรี่ไม่ได้ จึงทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ.
ไดชาร์จสูง (Overcharging) หมายถึงไดชาร์จ ชาร์จไฟสูงกว่าแบตเตอรี่รถยนต์รับได้ คือ 14.5 โวลต์เป็นเวลานานกว่า 30 นาที ซึ่งจำทำให้น้ำกรดแห้ง และแบตเตอรี่รถยนต์ระเบิดในที่สุด.
ไดชาร์จต่ำๆสูงๆ (Chargers fluctuating) หมายถึงไดชาร์จ ชาร์จไฟสูงบ้าง ปกติบ้าง ต่ำบ้าง ขณะติดเครื่องยนต์ เปิดไฟหน้า และแอร์ เหตุเนื่องมาจาก สายพานไดชาร์จหย่อนหรือหมดอายุ คราบสกปรกต่างๆ ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมในที่สุด.
เกิดไฟรั่วในตัวรถอันเนื่องมาจาก การติดตั้งเครื่องเสียง สายไฟหมดอายุ และอื่นๆที่ทำให้ไฟรถลัดวงจร เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่ทำงานตลอดเวลาและเสี่ยมสภาพในที่สุด.
แบตเตอรี่เสื่อมเร็วเพราะการติดตั้งระบบเครื่องมือต่างๆเช่น GPS, เสียบปลั๊กมือถือค้างไว้ และอุปกรณือื่นๆที่ทำให้แบตเตอรี่ทำงานตลอดเวลา.
สำหรับผู้ใช้แบตเตอรี่แบบน้ำ ที่ไม่ดูแลน้ำกลั่น และปล่อยให้น้ำกลั่นแห้งต่ำกว่าแผ่นธาตุ หรือไม่ใช้น้ำกลั่นบริสุทธิ์เติมในแบตเตอรี่ รับรองได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมเร็วแน่นอน.
การลืมเปิดไฟทิ้งไว้จนไฟหมดแบตเตอรี่ และแบตเตอรี่ลูกนั้นอายุการใช้งานเกิน 6 เดือน อาจจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วมาก.
เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์
การดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ ดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ง่ายนิดเดียว ถ้าเรารู้จักวิธีการที่ถูกต้อง
ขั้นตอนแรกที่เป็นหัวใจในการดูแลรักษาแบตเตอรี่คือ “ระบบไดชาร์จ” ต้องทำงานปกติ. ไดชาร์จทำงานปกติจะมีค่าชาร์จที่ 13.80 ถึง 14.20 โวลต์. ถ้าต่ำกว่าค่านี้มีสาเหตุมาจาก สายพานไดชาร์จเสื่อม แปรงถ่าน ไดโอดเสีย ขดลวดไดชาร์จเสื่อม หรืออื่นๆจากส่วนประกอบไดชาร์จ. ดังนั้นลูกค้าต้องหมั่นตรวจสอบการทำงานของไดชาร์จทุกๆ 1 ปี.
ไฟรั่วในรถยนต์จะทำให้แบตเตอรี่หมดและเสื่อมในที่สุด (สาเหตุมาจากสายไฟหมดอายุ การติดตั้งเครื่องเสียง การติดตั้งระบบสายกราวด์ ระบบแก๊ส หรืออื่นๆที่เกี่ยวกับระบบไฟ) ดังนั้นลูกค้าต้องเช็คไฟรั่วทุกๆ 6 เดือน.
บำรุงรักษาแบตเตอรี่โดยใช้น้ำกลั่นบริสุทธิ์ เติมในแบตเตอรี่แบบน้ำและกึ่งเท่านั้น.
ทำความสะอาดแบตเตอรี่ ด้วยน้ำร้อนเพื่อขจัดคราบขี้เกลือที่ติดอยู่ตามขั้วลบและบวก และรูระบายอากาศของแบตเตอรี่.
ควรสตาร์ทรถทุกๆสัปดาห์ เพื่อให้ไดชาร์จเติมไฟในแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่เสมอ.
การดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์
วิธีการเคลมแบตเตอรี่รถยนต์ วิธีการเคลมแบตเตอรี่รถยนต์
แจ้งการเคลมแบตเตอรี่ที่อยู่ในประกันโดยโทรมาที่ 096-490-9993 หรือ 080-963-6661 หรือ 082-965-4446 ในเวลาทำการ 7:00 AM – 1:00 AM วัน โดยระบุหมายเลขทะเบียนรถ หรือเลขที่ IV ในใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี.
ช่างเทคนิคของบริษัทฯจะสอบถามอาการของรถที่สตาร์ทไม่ติดจากท่านดังนี้
กรณีแบตเตอรี่น้ำกลั่นหรือกึ่งแห้ง ลูกค้าลืมเติมน้ำกรดหรือไม่
ขั้วลบและบวกของแบตเตอรี่หลวมหรือไม่
เข้าเกียร์ที่ตำแหน่ง P หรือไม่
ไฟเบรคหลังค้างหรือไม่
ไดชาร์จทำงานปกติหรือไม่ (สำหรับลูกค้าของบริษัทฯ สามารถดูได้จากใบเสร็จรับเงิน จะมีระบุการตรวจเช็คไดชาร์จหลังจากเปลี่ยนแบตเตอรี่เสร็จ)
ลืมเปิดไฟทิ้งไว้หรือไม่
จอดรถทิ้งไว้เกินเดือนหรือไม่ โดยไม่สตาร์ท
เคยไปให้ช่างติดตั้งระบบอื่นๆเกี่ยวกับสายไฟหรือไม่
อื่นๆที่เป็นสาเหตุทำให้รถสตาร์ทไม่ติด
ถ้าเข้าข่ายในกรณี ข้อ 2 และไม่ใช่ความผิดพลาดจากสายการผลิต และลูกค้าประสงค์ให้ช่างของบริษัทฯไปตรวจสอบนอกสถานที่ ทางบริษัทฯจะมีค่าบริการทันที 400-500 บาทแล้วแต่กรณี.
ในการเคลมแบตเตอรี่ของแต่ละยี่ห้อจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน โดยสามารถระบุได้ดังนี้
แบตเตอรี่ที่แจ้งการเคลมไม่เสีย (ตรวจสอบจากเครื่องมือเช็คแบตเตอรี่ของบริษัทฯเท่านั้น) จะมีค่าดำเนินการ 400-500 บาท.
แบตเตอรี่ที่แจ้งการเคลมต้องเสียจริงเท่านั้น (ตรวจสอบจากเครื่องมือเช็คแบตเตอรี่ของบริษัทฯเท่านั้น) เปลี่ยนลูกใหม่ทันทีในกรณีเสียจากโรงงาน ไม่มีค่าใช้จ่าย .
แบตเตอรี่ที่แจ้งการเคลมต้องเสียจริงเท่านั้น (ตรวจสอบจากเครื่องมือเช็คแบตเตอรี่ของบริษัทฯเท่านั้น) เปลี่ยนลูกใหม่ทันทีในกรณีเสียจากผู้ใช้ โดยมีค่าใช้จ่าย 400-500 บาท .
แบตเตอรี่ที่แจ้งการเคลมต้องเสียจริงเท่านั้น (ตรวจสอบจากเครื่องมือเช็คแบตเตอรี่ของบริษัทฯเท่านั้น) มีแบตเตอรี่สำรองให้ใช้ แบตเตอรี่ที่เสียจากโรงงาน บริษัทฯทำการส่งเคลมให้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย.
แบตเตอรี่ที่แจ้งการเคลมต้องเสียจริงเท่านั้น (ตรวจสอบจากเครื่องมือเช็คแบตเตอรี่ของบริษัทฯเท่านั้น) มีแบตเตอรี่สำรองให้ใช้ แบตเตอรี่ที่เสียจากผู้ใช้ บริษัทฯทำการส่งเคลมให้ โดยมีค่าใช้จ่าย 400-500 บาท.
หากลูกค้าที่ประสงค์จะมาเคลมสินค้าที่สำนักงานใหญ่ ไม่ว่ากรณีอะไรก็ตาม จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น. (สำหรับแบตเตอรี่ยี่ห้อที่มีนโยบายเสียเปลี่ยนลูกใหม่ ถ้าเสียจากผู้ใช้จะมี ค่าใช้จ่าย 400-500 บาท).
การเคลมแบตเตอรี่ 1 ลูก สามารถเคลมได้ครั้งเดียวเท่านั้น โดยนับอายุการรับประกันต่อเนื่องจากวันที่ซื้อครั้งแรก.
บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการไม่รับประกันแบตเตอรี่ ถ้าไม่เข้าหลักเกณฑ์
กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายการเคลมสินค้า กรุณโทรสอบถามที่ 096-490-9993 หรือ 080-963-6661 หรือ 082-965-4446 ในเวลาทำการ 7:00 AM – 1:00 AM วัน
วิธีการเคลมแบตเตอรี่รถยนต์